วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563

สรุปเสือโคคำฉันท์

สรุปเสือโคคำฉันท์


ประวัติและที่มาเสือโคคำฉันท์

        พระมหาราชครู ได้เค้าเรื่องมาจาก ปัญญาสชาดก สันนิษฐานว่าคงแต่งก่อนสมุทรโฆษคำฉันท์ ถือว่าเป็นวรรณคดีประเภทฉันท์เล่มแรก ที่แต่งเป็นเรื่องยาว เป็นวรรณคดีไทยที่มีคุณค่าสูงเรื่องหนึ่ง  พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี โปรดให้พิมพ์เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ครั้งนี้นับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 5 ได้ ตรวจสอบต้นฉบับพิมพ์กับต้นฉบับสมุดไทย ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่งานบริการหนังสือภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ คือ เล่ม ๑ เลขที่ ๔๑ เล่ม ๒ เลขที่ ๔๒ เล่ม ๑ เลขที่ ๔๕ เล่ม ๒ เลขที่ ๔๖ และเล่ม ๑ เลขที่ ๔๗ เล่ม ๒ เลขที่ ๔๔


ผู้แต่งและความมุ่งหมายในการแต่งเสือโคคำฉันท์

      เชื่อกันว่า พระมหาราชครูในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นผู้นิพนธ์ ความมุ่งหมายที่ปรากฏในหนังสือก็เพียงแต่กล่าวไว้เป็นเฉลิม คือ แต่งขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคล หรือ เพื่อเป็นที่ยกย่องเท่านั้น


วิธีเขียนและการดำเนินเรื่อง

     เขียนเป็นฉันท์ ฉันท์ที่ใช้เป็นฉันท์ที่ง่ายๆ มีคําฉันท์ 5 ชนิด คือ ฉันท์ ๑๔ ฉันท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ ฉันท์ ๑๙ ฉันท์ ๒๑ ฉันท์ ๑๕ นอกจากฉันท์ยังมีกาพย์สุรางคนางค์ กับ กาพย์ยานี ๑๑   การดําเนินเรื่องเริ่มตั้งแต่ เมื่อลูกเสือกับลูกโค ไปถึงสํานักของพระฤาษี เรื่องในเสือโคคําฉันท์ แตกต่างกว่าเรื่องใน พหลคาวิชาดก เสือโคคําฉันท์อยู่ในลักษณะนิยายมากกว่า


เรื่องย่อ

กล่าวถึงลูกเสือและลูกโคที่สาบานจะรักกันเหมือนพี่น้อง วันหนึ่งแม่เสือซึ่งสาบานว่าจะไม่ทำร้ายโคแม่ลูกได้เสียสัตย์ ลูกเสือและลูกโคจึงช่วยกันฆ่าแม่เสือ แล้วชวนกันไปหากินจนพบพระฤาษี จนถูกชุบให้เป็นคนลูกเสือชื่อพหลวิไชย ลูกโคชื่อคาวี พระฤาษีมอบพระขรรค์ให้เป็นอาวุธ แล้วทั้งสองจึงลาไปยังเมืองมคธ พระคาวีได้ฆ่ายักษ์ตาย จึงได้นางสุรสุดาราชธิดาท้าวมคธ แต่ทรงถวายแก่พระพหลวิไชย แล้วเดินทางต่อไป โดยต่างฝ่ายต่างเสี่ยงดอกบัวไว้คนละดอก เมื่อไปถึงเมืองร้างแห่งหนึ่ง พบกลองใบหนึ่งซึ่งตีไม่ดัง ผ่าดุพบนางจันทรผู้มีผมหอมพระคาวีจึงช่วยนางจากนกอินทรีด้วยพระขรรค์วิเศษและได้นางเป็นชายา ต่อมานางจันผมหอมใส่ผมหอมลงในผอบแล้วลอยน้ำไป ท้าวยศภูมิเจ้าเมืองพัทธวิไสยเก็บได้จึงหลงใหลผมหอมนั้นมาก นางทาสีอาสาไปนำนางมาถวายนางออกอุบายจึงได้นางจันทร์สุดาไป แต่ท้าวยศภูมิไม่อาจเข้าใกล้นางได้ เพราะร้อนดังไฟ เมื่อพระพหลวิชัยเห็นดอกบัวอธิษฐานเหี่ยวลงเป็นลางร้ายจึงตามหาพระคาวี และช่วยพระคาวีจนฟื้น และพากันออกตามหานางจันทร์สุดาจนพบ และช่วยเหลือนางออกมาได้ พระคาวีได้อภิเษกกับนางจันทรและครองเมืองพัทธวิไสยสืบมา


ความเชื่อ
 เวทมนตร์คาถา
          ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องเวทมนตร์คาถา ในตอนที่ว่าพระฤาษีเสกให้ลูกเสือกับลูก โคเป็นคนทั้งสองตัว  และตอนที่พระฤาษีย่อร่างคาวี

 การชุบชีวิต
        ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องการชุบชีวิต ในตอนที่ว่าพหลวิชัยได้ตามหาคาวี แล้วช่วยแก้ให้ฟื้นคืนชีพได้แล้วพาเข้าเมืองพันธพิสัยเพื่อตามหานางจันทร์สุดา

 ความซื่อสัตย์
          ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ในตอนที่นางจันทร์สุดามีพระวรกายร้อนเนื่องมาจากอำนาจของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีของนางจันทร์สุดาที่มีต่อคาวีทำให้ท้าวยศภูมิไม่อาจเข้าใกล้ได้และรอดพ้นจากการล่วงเกินใด ๆ 

ยักษ์
ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องยักษ์ในตอนที่ว่าคาวีต่อสู้กับรากษสตอนที่ไปตักน้ำให้พหลวิชัย

 การอยู่ยงคงกระพัน
      ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องการอยู่ยงคงกระพัน ในตอนที่พระฤาษีนำหัวใจของพระหลวิชัยกับคาวีใส่ลงไปในพระขรรค์เพื่อความอยู่ยงคงกระพัน


คุณค่า

        1. ในด้านอักษรศาสตร์ มีเนื้อหาสนุกสนานน่าติดตาม ถ้อยคำสำนวนไพเราะ ใช้ถ้อยคำได้เหมาะสมกับ  ฉันท์ชนิดต่างๆ

     2. ในด้านพระพุทธศาสนา ให้คติธรรมเกี่ยวกับการรักษาความสัตย์ เกิดเป็นคนควรรักษาความสัตย์ไว้กับตัว มีพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า จะมีชื่อเสียงเพราะความสัตย์










วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

คำนำ

คำนำ

          

การศึกษาวรรณคดีสมัยอยุธยา เรื่องเสือโคคำฉันท์ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาแนวทางการศึกษาวรรณคดีไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา การชุบชีวิต ความซื่อสัตย์ ยักษ์ และความเชื่อเรื่องการอยู่ยงคงกระพัน และได้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blogger นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่

หากเกิดข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทำขอน้อมรับ และขออภัยมา ณ ที่นี้




ความเชื่อ


ความเชื่อ


    เวทมนตร์คาถา


          ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องเวทมนตร์คาถา ในตอนที่ว่าพระฤาษีเสกให้ลูกเสือกับลูกโคเป็นคนทั้งสองตัว
       ความหมายของคาถา และ เวทมนตร์คาถา ความหมายของคำว่า “คาถา” พระคาถา และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน คือการใช้คาถาให้มีความศักดิ์สิทธิ์ โดยการภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต บทคาถาต่าง ๆ ทั้ง คาถาชินบัญชร คาถาทางเมตตามหานิยม คาถาทางคงกระพันชาตรี คาถาแคล้วคลาด คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถาแผ่เมตตา คาถากันของไม่ดี หัวใจพระคาถาต่างๆ คาถาบูชาเทพเจ้า คาถาบูชาพระพุทธรูปต่างๆ




แหล่งที่มา : https://699pic.com/tupian-401095741.html

ซึ่งคาถาต่าง ๆ เป็นคาถาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมัยก่อนคนจะใช้คาถาต่าง ๆ ได้สัมฤทธิผลกันมากเนื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาและสัจจะเป็นสำคัญ ส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระการออกเสียงต่าง ๆ อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำคัญอยู่ที่ความมั่นใจและตั้งมั่นมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ บทสวดมนต์ต่าง ๆ การออกเสียงในส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ก็ต่างกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันล่ะ ก็เพราะความตั้งมั่น ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมานั่นเอง

แหล่งที่มา : https://pantip.com/topic/37654001


เวทมนต์คาถาใด ๆ ก็ตามถ้าหากว่าเราจะต้องท่องให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องได้ง่ายจำได้แม่น แล้วก็กราบตำรานั้น 3 ครั้ง ต่อจากนั้นก็เปิดขึ้นมาท่องจำ หนังสือนั้นอย่าเหยียบอย่าข้าม อย่านั่งทับหรือนอนทับ ขณะท่องอย่านอนหลับให้หนังสือทับคาอก จะทำให้ปัญญาเสื่อม


เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถาใด ๆ ทุก ๆ พระคาถา จะต้องตั้ง นะโม 3 จบก่อน

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

        เมื่อเข้าใจว่าการใช้คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในตนสร้างความเชื่อมั่น และโน้มน้าวจิตตามวัตถุประสงค์ แล้วก้ตั้งจิตให้มั่นภาวนาคาถาได้ตามต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะหวังพึ่งคาถาอย่างเดียวคงไม่ได้ หากใจเราต้องบริสุทธิ์ คิดดี ทำดีละเว้นความชั่วไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะยิ่งส่งผลให้พระคาถาที่ท่องบำเพ็ญภาวนาสำเร็จไปได้ด้วยดี 


ความเป็นมาของคาถา


       พระคาถาหรือคาถา เป็นวิชาอาคมที่ใช้ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ โดยมี "คาถา" เป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต แพร่หลายเป็นอย่างมากเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ก่อนที่จะเกิดการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 (ตติยสังคายนา)  และต่อมาศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียได้ผสมผสานกันมา จนเกิดมีลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถา-อาคมพระคาถา) เกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่ง


ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใสในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์ "คาถา" เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพ์ต่าง ๆ แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะพระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ 2 อย่าง คือ


1. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์


2. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์


       การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบนฐาน แห่งวิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตศัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้




เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา พระคาถาและการทำสมาธิแบบนี้ ได้แพร่หลายมากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่



แหล่งที่มา 

https://www.sanook.com/horoscope/67933/


การชุบชีวิต


       ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องการชุบชีวิต ในตอนที่ว่าพหลวิชัยได้ตามหาคาวี แล้วช่วยแก้ให้ฟื้นคืนชีพได้แล้วพาเข้าเมืองพันธพิสัยเพื่อตามหานางจันทร์สุดา


“สัญชีวนี” ความเชื่อที่ยังหายใจในอินเดีย



        พิธีสัญชีวนี คือ พิธีชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ โดยการนำดวงจิตของผู้ตายกลับเข้ากายหยาบ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการยืนยันว่าพิธีนี้มีอยู่จริง นอกจากนั้นคำว่า สัญชีวนี ยังหมายถึงกลุ่มตัวยาสมุนไพรชนิดหนึ่งของอารยันโบราณ และมีความเชื่อว่าเป็นมนตราที่พระศิวะมอบให้พระฤๅษีศุกราจารย์ (พระศุกร์) ใช้ชุบชีวิตเหล่าอสูร อีกทั้งยังปรากฏในนิทานเวตาลด้วย

        ตามเนื้อเรื่องของรามายณะ เมื่อครั้งที่พระลักษมณ์ (น้องชายของพระราม) ถูกอาวุธของอินทรชิตจนบาดเจ็บสาหัส หนุมานไปยังเขาสรรพยาเพื่อหาสมุนไพร “สัญชีวนี” แต่เพราะไม่รู้จักจึงนำเขาทั้งลูกมายังสนามรบ เพียงแค่ลมพัดผ่านสมุนไพรเท่านั้น พระลักษมณ์ก็ฟื้นคืนกลับมา

แหล่งที่มา : https://pantip.com/topic/38916009


        เมื่อปี 2559 รัฐบาลท้องถิ่นรัฐอุตตราขัณฑ์ทางตอนเหนือของอินเดียได้ตั้งคณะกรรมการค้นหาและวิจัยสัญชีวนี ซึ่งอ้างว่าสมุนไพรชนิดนี้มีการใช้ในอินเดียมานานนับพันปีและมีหลายสายพันธุ์ ผู้คนยังมีความเชื่อว่า มฤตสัญชีวนี เป็นสายพันธุ์ที่ใช้รักษาพระลักษมณ์ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดยืนยันว่ามีอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องในตำนาน




แหล่งที่มา 

ความซื่อสัตย์


         ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ในตอนที่นางจันทร์สุดามีพระวรกายร้อนเนื่องมาจากอำนาจของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีของนางจันทร์สุดาที่มีต่อคาวีทำให้ท้าวยศภูมิไม่อาจเข้าใกล้ได้และรอดพ้นจากการล่วงเกินใด ๆ 

      ความซื่อสัตย์ หมายถึง แง่มุมหนึ่งของศีลธรรม แสดงถึงคุณลักษณะทางบวกและคุณธรรม อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความจริงใจ และความตรงไปตรงมา พร้อมด้วยความประพฤติตรง ตลอดจนการงดเว้นการโกหก การคดโกง หรือการลักขโมย เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ความซื่อสัตย์ยังหมายถึงความน่าไว้วางใจ ความภักดี ความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ใจอีกด้วย



แหล่งที่มา : http://piyapong12.blogspot.com/p/10.html?m=0



ยักษ์



           ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องยักษ์ ในตอนที่ว่าพหลวิชัยและคาวีกราบลาพระฤาษีเพื่อไปยังเมืองจันทบูรนครคาวีได้เจอกับยักษ์และทำการต่อสู้กัน คาวีฆ่ายักษ์ได้สำเร็จ



ยักษ์ เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งที่มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี ยักษ์ในความเชื่อของไทยมักได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ในขณะที่ความเชื่อในบริเวณอื่น ๆ ของโลกก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โต ชอบของสดคาว ซึ่งเทียบได้กับยักษ์ในความเชื่อของคนไทยเช่นกัน



แหล่งที่มา : https://talk.mthai.com/pr/452638.html


ยักษ์ในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ

        ยักษ์ จะมีหลายระดับขึ้นกับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูง จะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมี แต่ผิวจะดำ ดำอมเขียว อมเหลือง ดำแดงก็มี แต่ว่าดำเนียน มีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา ยักษ์ชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารคอยรับใช้ของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบ เหมือนกระดาษทราย นิสัยดุร้าย

ยักษ์เกิดได้ 3 แบบ คือ

เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
เกิดแบบชลาพุชะ เกิดในครรภ์
เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคล
ที่อยู่ของยักษ์ มักอยู่ตามถ้ำ ตามเขา ในน้ำ ในดิน พื้นมนุษย์ ในอากาศ และมีวิมานอยู่ที่เขาสิเนรุในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกยักษ์จะอยู่ในการปกครองของท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวรมหาราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศเหนือ เหตุที่มาเกิดเป็นยักษ์เพราะทำบุญเจือด้วยความโกรธ มักหงุดหงิดรำคาญใจ





แหล่งที่มา : https://www.matichonweekly.com/scoop/article_8549








แหล่งที่มา


การอยู่ยงคงกระพัน

      ในเรื่องเสือโคคำฉันท์มีความเชื่อในเรื่องการอยู่ยงคงกระพัน ในตอนที่พระฤาษีนำหัวใจของพระหลวิชัยกับคาวีใส่ลงไปในพระขรรค์เพื่อความอยู่ยงคงกระพัน



คงกระพัน เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง สันนิษฐานว่า มีที่มาจากคำว่า "กระบัล" ในภาษามลายู แปลว่า "คงทนต่อศัสตราวุธ" ดังที่มีสำนวนว่า "อยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า" วิชาคงกระพันชาตรีจึงหมายถึง "วิชาที่ทำให้ร่างกายสามารถทนทานต่อคมอาวุธทั้งหลายได้" สมัยโบราณเป็นวิชาที่ชายไทยเล่าเรียนกันมาก เนื่องจากต้องมีหน้าที่เป็นทหารออกรบป้องกันราชอาณาจักร และการรบในสมัยโบราณเป็นการรบแบบประชิดตัว จึงจำเป็นต้องเล่าเรียนคาถาอาคมที่จะช่วยปกป้องตนเองให้ปลอดภัยจากคมหอกคมดาบ ความเชื่อเรื่องอยู่ยงคงกระพันของไทยโบราณมีหลายวิธี อาทิ พกพาเครื่องราง บริกรรมคาถาอาคม สักยันต์ เสกอาหารกิน เสกน้ำมันทาตัว เป็นต้น






คงกระพันจะต่างจากชาตรี กล่าวคือ คงกระพันจะเป็นการทำให้เนื้อหนังร่างกายคงทนต่ออาวุธตลอดจนวัตถุต่างๆ ที่มาทำร้าย แต่หากอาวุธนั้นมีอันตรายมากหรือมีน้ำหนักมากก็อาจทำให้เจ็บปวดสาหัสหรืออวัยวะภายในบอบช้ำได้ ส่วนชาตรีจะเป็นวิชาที่ป้องกันคมอาวุธด้วย และทำให้ผู้ถูกทำร้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เป็นวิชาที่ทำให้ตัวเบาและวัตถุสิ่งของที่มากระทบตัวเบาไปหมด แม้เป็นของแข็งอย่างหินทุ่มมาทำร้ายก็เชื่อว่าจะรู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยหมอนนุ่นเท่านั้น วิชาในหมวดชาตรีที่รู้จักกันดีคือ วิชาเก้าเฮ ของสำนักวัดพระญาติการาม อยุธยา ซึ่งใช้นิ้วมือชักยันต์ลงไปบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิชาในหมวดเดียวกับคงกระพันคือ ชาตรี แคล้วคลาด และ มหาอุด ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางจิตในวิธีต่างๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากศัสตราวุธ



แหล่งที่มา

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99











เรื่องย่อ

เรื่องย่อ


         เริ่มจากกล่าวถึงแม่เสือทิ้งลูกไปหากินไกล จนลูกเสืออ่อนหิวเจียนตาย  บังเอิญแม่โคพาลูกเดินผ่านมา ลูกเสือจึงออกปากขอกินนม แต่แรกแม่โคคิดจะปฏิเสธเพราะเป็นศัตรูต่อกันโดยกำเนิด แต่ลูกเสือปฏิญาณว่าถ้าได้กินนมจะนับถือเป็นแม่และไม่ทำอันตราย แม่โคจึงยอมให้ลูกเสือกินนม ครั้นแม่เสือกลับมา ลูกเสือก็เล่าเรื่องดังกล่าวให้ทราบและขอให้แม่เสือปฏิญาณว่าจะไม่ทำอันตรายแม่วัว แม่เสือรับคำแต่ภายหลังคิดทรยศ ลอบฆ่าแม่วัวกินเป็นอาหาร ลูกสัตว์ทั้งสองรู้เข้าจึงร่วมมือกันฆ่าแม่เสือเสีย แล้วพากันเดินทางต่อไปจนพบพระฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีจึงชุบสัตว์ทั้งสองขึ้นเป็นมนุษย์ ให้ชื่อว่าพหลวิชัยและคาวีตามลำดับ ไต่ถามความเป็นมาแล้วมอบพระขรรค์ให้คนละเล่ม ทั้งถอดหัวใจใส่พระขรรค์ให้ด้วยเพื่อจะได้อยู่ยงคงกะพัน






         พหลวิชัยและคาวีพากันเดินทางต่อไปจนถึงแดนเมืองจันทบูรนครจึงหยุดพักใต้ร่มไม้ริมสระ ซึ่งเป็นที่อาศัยของรากษสตนหนึ่ง คาวีไปตักน้ำให้พหลดื่ม พบรากษสเข้าก็ต่อสู้กัน จนฆ่ารากษสตาย ชาวเมืองมาเห็นจึงนำความไปทูลท้าวมคธราชผู้ครองเมือง ท้าวมคธราชเสด็จออกมาเชิญผู้ฆ่ารากษสไปครองเมืองและจะพระราชทานราชธิดา คือนางสุรสุดาให้เป็นมเหสี คาวีก็ทูลบ่ายเบี่ยงให้เข้าใจว่า พหลวิชัยซึ่งตนนับถือเป็นพี่สมควรแก่ตำแหน่งนั้นมากกว่าเมื่อพหลวิชัยได้ขึ้นครองเมืองนั้นแล้ว คาวีก็ลาออกเดินทางผจญภัยต่อไปหลังจากเสี่ยงดอกบัวอธิษฐานแลกกันไว้

           ในที่สุดคาวีก็เดินทางมาถึงเมืองร้าง เห็นกลองใบใหญ่ตั้งอยู่หน้าเหมปราสาทแต่ตีไม่ดัง จึงใช้พระขรรค์แหวะหน้ากลองออก พบนางจันทร์สุดา นางเล่าให้ฟังว่ามีนกอินทรีคู่หนึ่งบินมากินคนในเมืองซึ่งชื่อว่ารมยนครจนเบาบาง ราชบิดาของนางจึงสร้างกลองใหญ่ขึ้นซ่อนนางไว้ ถ้านกอินทรีเห็นควันลอยขึ้นจากเมือง รู้ว่ายังมีคนอยู่ ก็จะมาจับกิน คาวีทราบดังนั้นจึงก่อไฟเรียกนกอินทรีมาฆ่าเสียทั้งคู่  แล้วก็อยู่เป็นสุขกับนางจันทร์สุดาต่อมาในเมืองนั้น



แหล่งที่มา : http://9mahawed.blogspot.com/2017/


      วันหนึ่งนางจันทร์สุดาพาคาวีไปสรงในแม่น้ำ แล้วเก็บเส้นเกศาที่ร่วงใส่ผอบลอยไป  ท้าวยศภูมิเจ้าเมืองพัทธพิไสยเก็บผอบได้ ติดใจความหอมของเกศานาง หญิงชราที่เคยอยู่ในเมืองร้างนั้นและรู้ความเป็นมาของนางจันทร์สุดาจึงอาสาพานางมาให้หญิงชราเดินทางไปฝากตัวเป็นข้านางจันทร์สุดา สืบจนรู้ว่าคาวีถอดหัวใจไปใส่ไว้ในพระขรร์จึงแอบนำพระขรรค์ไปเผาทิ้ง พอคาวีสิ้นสมปฤดี ก็อุ้มนางจันทร์สุดาลงเรือไปส่งมอบแก่ท้าวยศภูมิ  แต่นางจันทร์สุดายังภักดีต่อสามี ด้วยฤทธิ์ความภักดีนั้นท้าวยศภูมิไม่อาจเข้าใกล้องค์นางได้ 

      ฝ่ายพหลวิชัยเกิดลางสังหรณ์ห่วงคาวี  เนื่องจากบัวอธิษฐานเหี่ยวแห้ง จึงเดินทางไปจนถึงเมืองรมยบุรี พบขรรค์ในกองเถ้าและคาวีสลบอยู่ริมเกยชัย  จึงช่วยแก้ไขจนคาวีฟื้นขึ้นมา ไต่ถามความเป็นมาจนรู้ชัด แล้วใช้เวทมนตร์ย่อร่างคาวีใส่ย่าม ปลอมตนเป็นดาบสติดตามนางจันทร์สุดาไปจนถึงเมืองพัทธพิไสย ได้ข่าวเล่าลือว่าท้าวยศภูมิได้นางงามมา แต่นางไม่ยินดีด้วย ท้าวยศภูมิคิดว่าเหตุเพราะตนรูปไม่งามและชราแล้วด้วย จึงประสงค์จะชุบตัวให้เป็นหนุ่มหล่อเหลา  พหลจึงเข้ารับอาสา ทำอุบายลวงผลักท้าวยศภูมิตกลงในกองกูณฑ์พิธี แล้วนำคาวีออกแสดงเป็นตัวแทน คาวีจึงได้พบกับนางจันทร์สุดาและร่วมกันครองเมืองพัทธพิไสยสืบไปโดยอาศัยนามท้าวยศภูมิ








            











วิธีเขียนและการดำเนินเรื่อง


วิธีเขียนและการดำเนินเรื่อง


เขียนเป็นฉันท์ ฉันท์ที่ใช้เป็นฉันท์ที่ง่ายๆ ศาสตราจารย์กุหลาบ มัลลิกะมาส กล่าวว่า ทํานองแต่ง ทั้งฉันท์และถ้อยคําประณีตใช้แต่งสมุทรโฆษไม่ได้ อาจเป็นด้วยว่าเรื่องสมุทรโฆษนั้น มุ่งหมายจะใช้ในงานพระราชพิธีสําคัญจึงเขียนอย่างตั้งใจเต็มที่ ซึ่งอาจารย์เปลื้อง ณ นคร กล่าวถึงฉันท์ที่ใช้ในเสือโคคําฉันท์ ไว้เช่นเดียวกันว่า เรื่องนี้มีคําฉันท์ 5 ชนิด คือ ฉันท์ ๑๔ ฉันท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ ฉันท์ ๑๙ ฉันท์ ๒๑ ฉันท์ ๑๕ ที่ไม่เรียกว่าเป็นฉันท์วสันตดิลก หรืออินทรวิเชียรฉันท์นั้น เพราะสังเกตเห็นว่า ในเรื่องเสือโค นี้ และแม้ในสมุทรโฆษคําฉันท์ ผู้นิพนธ์ไม่เคร่งครัดเรื่องครุ ลหุ แต่ถือจํานวนพยางค์เป็นหลักสําคัญ นอกจากฉันท์ยังมีกาพย์สุรางคนางค์ กับ กาพย์ยานี ๑๑ การดําเนินเรื่องเริ่มตั้งแต่ เมื่อลูกเสือกับลูกโค ไปถึงสํานักของพระฤาษี เรื่องในเสือโคคําฉันท์ แตกต่างกว่าเรื่องใน พหลคาวิชาดก เสือโคคําฉันท์อยู่ในลักษณะนิยายมากกว่า







แหล่งที่มา


องเพียร   สารมาศ.  (๒๕๓๐).  วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒. กรุงเทพฯ  :  กรมศิลปากร.